พลเรือตรีสมเกียรติ ผลประยูร เผยความรู้สึกหลังมีมติ ครม.ออกคำสั่งโยกย้ายไปดำรงตำแหน่งประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ ปัญหาชายแดนใต้เป็นปัญหาสั่งสมมานานต้องใช้หัวใจ ลดความเลื่อมล้ำ ลดความแตกต่าง

พลเรือตรีสมเกียรติ ผลประยูร เผยความรู้สึกหลังมีมติ ครม.ออกคำสั่งโยกย้ายไปดำรงตำแหน่งประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ ปัญหาชายแดนใต้เป็นปัญหาสั่งสมมานานต้องใช้หัวใจ ลดความเลื่อมล้ำ ลดความแตกต่าง


เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 66 ที่บ้านพักเลาขาธิการฯ ภายในศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ พลเรือตรีสมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ให้การต้อนรับหัวหน้าส่วนราชการ และกลุ่มประชาชนในพื้นที่ ที่เข้าให้กำลังใจแก่พลเรือตรีสมเกียรติ ผลประยูร หลังมีคำสั่งจากมติคณะรัฐมนตรี ให้ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แม้ว่าจะใกล้ครบวาระการเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน 2566 นี้ ซึ่งภายหลังที่มีคำสั่งออกมา ทำให้ประชาชนหลายกลุ่มในพื้นที่เกิดความสงสัยและไม่เข้าใจ ตามคำสั่งดังกล่าว โดยในวันนี้ ก็มีหัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนบางส่วนเดินทางเข้าพบพลเรือตรีสมเกียรติ ผลประยูร เพื่อให้กำลังใจ และสอบถามถึงที่มาที่ไปของคำสั่งดังกล่าว


ด้านพลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร ได้เปิดเผยกับทีมข่าวว่า ยอมรับว่าตนเองก็ไม่ทราบถึงคำสั่งการโยกย้ายตามมติของ คณะรัฐมนตรี เพราะพึ่งจะเดินทางไปลงนามต่ออายุราชการเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา เนื่องจากตามวาระอายุราชการแล้ว ตนเองจะเกษียณราชการในเดือนกันยายน ปีนี้ และได้ไปลงนามขอต่ออายุราชการเพื่อปฏิบัติงานในพื้นที่ต่ออีก 1 ปี เนื่องจากข้าราชการที่เกษียณตามวาระ สามารถขอต่ออายุราชการได้ 2 ครั้ง ครั้งละ 1 ปี


โดยในความตั้งใจของตนเองนั้น ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติหน้าที่ตั้งใจว่าในชีวิตราชการจะเรื่องเดียวคือความสงบและสันติสุขคืนสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่จำเป็นว่าจำอยู่ในตำแหน่งใด หรือที่ไหน ก็ตาม แต่เมื่อมีคำสั่งออกมา ก็น้อมรับและปฏิบัติตามความเห็นชอบของผู้บังคับบัญชา แต่หัวใจก็ยังอยู่ภาคใต้ ที่ผ่านมาได้ลงพื้นที่ทำงาน พบปะมวลชนพี่น้องประชาชน ตั้งแต่เป็นอยู่นราธิวาสมา 3 ปี และมาเป็นรองเลขาธิการอีก 2 ปี จนได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการในปัจจุบัน ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ เมื่อเวลามีเท่านี้ ก็ถือว่าไม่เสียดายที่ผ่านมา ส่วนอนาคตก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคต


“ในส่วนตัวคิดว่าทุกหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ล้วนมีความสำคัญ เพราะต้องคุ้มครองดูแล ปกป้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ให้ได้ ซึ่งปัญหาที่นี่คือความสั่งสม ความแค้น ความไม่พอใจในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ 10 มีนาคม 2452 เป็นต้นมา ตั้งแต่เริ่มเป็นรัฐชาติขึ้นมา ทุกขวบปีก็จะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กระทบความรู้สึก ต้องคลายปมในหัวใจ นอกเหนือจากการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ลดความเลื่อมล้ำ ลดความต่าง สิ่งสำคัญคือหัวใจ เพราะนั้นคือเป้าหมายสุดท้ายที่จะอยู่ร่วมกันในแผ่นดิน มันคือความตั้งใจและเป็นอย่างนี้มาตลอดทุกวัน” พลเรือตรีสมเกียรติ กล่าว
หลังมีคำสั่งโยกย้ายออกมา ถ้าหากมีโอกาส ที่จะทำอะไรก็ตามให้กับพี่น้องประชาชนไม่ว่าจะทิศทางใด ก็ยินดี และหากจะทำอะไรสักอย่างในชีวิตนี้ ก็อยากจะประสานหัวใจของพี่น้องประชาชนในแผ่นดินใต้ ให้เขากลับมาอยู่ร่วมกันให้ได้ ไม่ต้องฆ่าฟันกัน เพราะเราต่างก็สูญเสียมาเยอะแล้ว ก็อยากจะใช้หัวใจเรา แม้บนท้องถนนจะมีกับระเบิด เรายังใช้เทคโนโลยีในการเก็บกู้ได้ แต่ระเบิดในหัวใจสำคัญที่สุดนั้นเป็นสิ่งที่ปรารถนา


พลเรือตรีสมเกียรติ ผลประยูร ยังกล่าวอีกว่า ผมเป็นคนพุทธ ก็ไม่เคยแตกแยกกับพี่น้องมุสลิม ส่วนคนไทยที่นี่ก็มีหลายคนที่เชื้อสายมลายู แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นความต่าง ส่วนหนึ่งที่เป็นความภาคภูมิใจในการปฏิบัติหน้าที่ที่ ศอ.บต.คือการทำให้ที่นี่เป็นบ้าน เป็นครอบครัว แม้เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานจะมาจากต่างถิ่นต่างที่ แต่ก็หล่อหลอมให้ทุกคนเป็นครอบครัวที่พร้อมจะเดินหน้าแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน นำการพัฒนา เป็นที่พึ่งพาให้ประชาชน อย่างน้อยก็ได้ปลูกฝังจิตสำนึกให้กับกำลังพล เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานที่นี่ได้ระลึกถึงการทำงานเพื่อประชาชน และอีกส่วนก็คือเดินไปทางไหนก็มีพี่น้องประชาชนต้อนรับ สวมกอด ทำให้เห็นว่า เราอยู่ร่วมกันได้ในแผ่นดินนี้ และมีพี่น้องประชาชนที่เข้าใจเพิ่มมากขึ้น ภูมิใจที่เป็นคนไทยคนนึงที่ร้อยประสานหัวใจไทย และสิ่งสำคัญอีกประการคือขอกราบขอบพระคุณนายกรัฐมนตรี ที่ได้ให้โอกาสในการได้ทำหน้าที่อันสำคัญตลอดหลายปีที่ผ่านมา.

Related posts